วันอาทิตย์ที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2558

Triumph Street Triple R ABS บิ๊กไบค์เก๋าทางเรียบ

แวดวงบิ๊กไบค์นั้นถือว่ามีการแข่งขันกันอย่างสูงเป็นอย่างยิ่ง และแต่ละค่ายนั้นก็ต่างสร้างเอกลักษณ์อันโดดเด่นไม่เหมือนใครเพื่อให้กลุ่มเป้าหมายได้จดจำแบรนด์ของตน และสำหรับค่ายบิ๊กไบค์ดังจากเกาะอังกฤษอย่าง ไทรอัมพ์ ก็เช่นเดียวกัน พวกเขาพยายามผลิตบิ๊กไบค์ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะออกมาอย่างต่อเนื่อง โดยในรุ่น ไทรอัมพ์ สตรีท ทริปเบิล อาร์ เอบีเอส ก็เป็นอีกรุ่นที่มีความโดดเด่นจนเป็นที่ต้องตาต้องใจของเหล่าผู้ที่ชื่นชอบในความแรงของสองล้อพันธุ์ใหญ่


โดยสำหรับ Triumph Street Triple R ABS นั้นเป็นบิ๊กไบค์ทางเรียบขนาดกลางอีกรุ่นที่ไทรอัมพ์ผลิตออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบเป็นอย่างมากด้วยขุมกำลังขนาดความจุ 675 ซีซี ที่มีจำนวน 3 สูบ 12 วาล์ว ในแบบ DOHC ซึ่งมันจะระบายความร้อยด้วยของเหลว ทำให้สามารถรีดกำลังออกมาได้ถึง 105 แรงม้า ในขณะที่มีอัตราแรงบิดอยู่ที่ 68 นิวตันเมตรที่ 9,750 รอบต่อนาที ถือว่าเป็นบิ๊กไบค์อีกรุ่นที่มีความแรงเป็นอย่างยิ่ง โดยมันยังเสริมมาด้วยระบบเกียร์แบบ 6 สปีด ที่มีการทำงานร่วมกับระบบคลัทช์แบบเปียก มัลติเพิล ได้อย่างลงตัวเป็นอย่างมาก โดยจุดเด่นที่สำคัญอีกจุดของบิ๊กไบค์รุ่นนี้ก็คือระบบเบรกที่เป็นแบบ ABS โดยเป็นการควบคุมการทำงานของระบบเบรกที่ล้อหน้าแบบ Twin 310mm Floating Discs และล้อหลังที่เป็นแบบ Single 220mm Disc ทำให้สามารถหยุดรถได้อย่างปลอดภัยไร้กังวลแม้นจะมาด้วยความเร็วสูงก็ตามที

ทางด้านของการออกแบบในส่วนของเหรมนั้น ต้องบอกเลยว่า Triumph Street Triple R ABS มีการดีไซน์ในส่วนของเฟรมมาเป็นอย่างดีในแบบ Aluminium Beam Twin-Spar ที่มีความแข็งแกร่งเป็นอย่างสูง พร้อมกันนี้ก็ยังมีระบบกันสะเทือนด้านหน้าเป็นแบบ Kayaba 41mm Upside Down Forks 110mm Travel ในขณะที่ด้านหลังจะเป็นแบบ Kayaba Monoshock With 125mm Rear Wheel Travel พร้อมกับตัวบอดีแบบเปลือยโชว์เครื่องยนต์ให้ความรู้สึกดุดันน่าเกรงขาม พร้อมกับโคมไฟหน้าคู่สไตส์เฉพาะของไทรอัมพ์ ก็ทำให้มันกลายเป็นบิ๊กไบค์อีกรุ่นที่น่าจับตามองเป็นอย่างยิ่ง ทางด้านของราคาขายนั้น ต้องบอกกันเลยว่า Triumph Street Triple R ABS นั้นเป็นบิ๊กไบค์ที่มีความแรงสูงและมีการเคาะราคาขายออกมาที่ 9,999 ดอลล่าห์สหรัฐ โดยนับได้ว่าเป็นราคาที่มีความน่าสนใจอย่างมากเมื่อเทียบกับสเปกแล้ว

วันพฤหัสบดีที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2558

ต้องการให้กล้องติดรถยนต์ ทำงานในขณะจอดรถทิ้งไว้

ทุกวันนี้ กล้องติดรถยนต์เป็นอุปกรณ์เสริมที่บรรดาผู้ใช้รถและผู้รักรถทั้งหลายนิยมหามาติดตั้งในรถกัน วันนี้จะว่ากันในประเด็นที่ผู้ใช้ต้องการให้กล้องทำงานในขณะที่รถไม่ได้วิ่งนะครับ คือขณะที่จอดตามลานจอดรถ ไม่ว่าจะชั่วคราว 1-2 ชั่วโมง หรือว่าจอดเป็นเวลานานๆ หลายชั่วโมง จะด้วยเหตุผลเรื่องอุบัติเหตุที่ไม่คาดคิด ความปลอดภัยจากการโจรกรรม หรือการกลั่นแกล้งจากผู้ไม่ประสงค์ดีในรูปแบบต่างๆครับ

1. กรณีที่ไม่ต้องการทำอะไรยุ่งยากเพิ่มเติม เราจะใช้โหมด Motion Dectection ที่มีอยู่ในกล้องแทบทุกรุ่นอยู่แล้วครับ กล้องจะอยู่ในโหมด standby ตลอดเวลา และจะเริ่มบันทึกภาพก็ต่อเมื่อตรวจพบการเคลื่อนไหวที่หน้ากล้องเท่านั้น เมื่อกล้องอยู่ในโหมดนี้จะใช้พลังงานน้อยกว่าในโหมดปกติครับ วิธีนี้จะค่อนข้างเฉพาะกิจและส่วนมากจะใช้ในกรณีที่จอดรถเป็นเวลาไม่นานนักครับ (โหมด Motion Dectection มักจะมีปัญหากับกล้องคุณภาพต่ำ ที่เลนส์ และความสามารถในการประมวลผลภาพไม่ค่อยดีครับ)

2. กรณีนี้ยังไม่ต้องการไปยุ่งยากกับแบตเตอรี่ของรถยนต์ เดี๋ยวมีปัญหาแบตหมด สตาร์ทไม่ติด เราจะใช้ตัวเก็บพลังงานสำรองประเภท Black Box Battery ครับ แบบที่เราใช้ชาร์ตแบตให้กับโทรศัพท์มือถือ หรือ แทบเล็ต อันนี้ใช้สำหรับกล้องติดรถยนต์ อยากใช้งานนานก็เลือกที่ความจุเยอะหน่อย 1x,000 mAh ขึ้นไป หรือถ้ามี Power Bank ของ โทรศัพท์มือถืออยู่แล้ว ก็สามารถนำมาดัดแปลงใช้ได้ครับ

3. อีกวิธีคือ ต่อพ่วงไฟจากแบตเตอรี่รถยนต์เราเลยครับ วิธีนี้เป็นวิธีที่ค่อนข้างถาวร และกล้องจะใช้พลังงานจากแหล่งจ่ายไฟแหล่งเดียวกัน ทั้งในขณะขับรถ และในขณะจอดรถ แต่บางทีถ้าผู้ใช้รถไม่มีความชำนาญ ก็คงต้องอาศัยช่างช่วยติดตั้งสาย และยังต้องเพิ่มตัวตัดไฟเพื่อป้องกันไฟในแบตเตอรี่รถเราหมด ซึ่งจะใช้อุปกรณ์ประเภท Power Cutoff หรือ power magic ครับ อุปกรณ์ประเภทนี้จะควบคุมการจ่ายไฟจากแบตเตอรี่ โดยการเช็คระดับแรงดันของแบตเตอรี่ไม่ให้ต่ำกว่าระดับที่เราตั้งไว้ คือประมาณ 11.8 v. - 12.2 v.(ถ้าหากต่ำกว่านี้ไฟในแบตไม่พอสำหรับการสตาร์ทเครื่องยนต์) หรือสามารถเลือกตั้งเวลาตัดไฟจาก Timer ก็ได้ครับ ทั้ง 3 วิธีมีลักษณะการใช้งานที่ต่างกันไป เลือกใช้กันให้เหมาะสมกับความต้องการของแต่ละท่านครับ

วันเสาร์ที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2558

สิ่งที่จำเป็นต้องรู้ เมื่อไปเลือกซื้อเครื่องฟอกอากาศ

ศึกษาเอาไว้ เวลาคุยกับคนขาย จะได้สอบถามได้ตรงจุด หรืออ่านโบรชัวร์ได้รู้เรื่องครับ สำหรับผู้ทีสนใจซื้อ เครื่องปรับอากาศหรือเครื่องปรับความชื้น

ประสิทธิภาพในการทำให้อากาศบริสุทธ์ CADR (Clean Air Delivery Rate) ความสามารถในการฟอกสิ่งปนเปื้อนในอากาศ โดยเฉพาะเจาะจงอย่างใดอย่างหนึ่ง โดยแยกเป็น Smoke:ควันบุหรี่, Dust:ฝุ่นละออง และ Pollen:ละอองเกสรดอกไม้ ค่ายิ่งมากยิ่งดีครับ ทั้งสามตัวควรจะมีค่าตั้งแต่ 120 ขึ้นไป

ความสามารถในปรับปรุงคุณภาพอากาศ โดยการกรองอนุภาคขนาดเล็ก ระบบที่มีประสิทธิภาพในการกรองสูง HEPA (High Efficiency Particle Arresting) ที่สามารถดักจับอนุภาคที่เล็กที่สุด ที่ขนาดไม่เกิน 0.3 ไมครอน จำเป็นมากสำหรับผู้ที่มีอาการภูมิแพ้ หอบหืด หรือมีปัญหาระบบทางเดินหายใจ โดยเฉพาะเด็กเล็กครับ

ขนาดของพื้นที่ใช้งาน ขนาดของห้องที่จะติดตั้งเครื่องฟอกอากาศ (Room Size หรือ Area Coverage) ก่อนซื้อควรจะวัด หรือ กะขนาดพื้นที่ของห้องไว้ก่อนนะครับ ประมาณว่า กว้างXยาว ห้องขนาด 5X5 เมตร จะมีพื้นที่ประมาณ 25 ตารางเมตร (25 m2) หรือ กะเอาคร่าวๆ ครับ

Airflow Rate หรือ Air Volume ความสามารถในการเปลี่ยนถ่ายอากาศ ส่วนมากระบุเป็น ลูกบาศก์เมตรต่อชั่วโมง ตัวเลข ยิ่งมาก ยิ่งดีครับ สามารถฟอกอากาศได้เร็วกว่า

Noise level เสียงดังขณะเครื่องทำงาน กำหนดเป็นหน่วยเดซิเบล(dB) ค่ายิ่งน้อยยิ่งเงียบครับ

Power usage ปริมาณไฟฟ้าที่ใช้ครับ คิดเป็น watts ยิ่งน้อยยิ่งประหยัดไฟครับ วิธีคิดเป็นค่าใช้ไฟฟ้าต่อเดือน คือ (ตัวเลขปริมาณไฟฟ้าที่ใช้Xจำนวนชั่วโมงที่ใช้ต่อวันX30Xค่าไฟฟ้าต่อหน่วย)หารด้วย1,000 ตัวอย่าง เครื่องกินไฟ 50 watts เปิดวันละ 20 ชั่วโมง ค่าไฟหน่วยละ3.50 บาท เดือนหนึ่งจะเสียค่าไฟฟ้าประมาณ (50x20x30x3.5)/1,000 = 105 บาทครับ

Filter service life อายุการใช้งานของอะไหล่ หรือตัวกรอง ตัวนี้สำคัญต้องเช็คราคาให้ดี แล้วดูว่าต้องเปลี่ยนทุกๆ 1 ปี หรือกี่เดือน คิดให้ดีว่าปีหนึ่งต้องเสียค่าเปลี่ยนอะไหล่เท่าไร แล้วเอาไปประเมิณกับราคาเครื่อง เพราะบางเครื่องราคาถูกกว่ารุ่นอื่นมาก แต่อะไหล่แพงหูฉี่ บวกลบกันแล้วไม่คุ้มครับ

Warranty ระยะเวลารับประกัน ก็สำคัญครับ ตรวจสอบกับผู้ขายให้ดีว่า ระยะเวลารับประกัน มี option เพิ่มหรือไม่ ต่างกันอย่างไร คุ้มค่าไหม สุดท้ายครับ ควรเลือกเครื่องฟอกอากาศ ที่มีมาตรฐานรับรองเช่น มอก., ISO เป็นต้น